บทที่๕ วัฏจักร (วงจรชีวิต) การพัฒนาระบบการจัดการความรู้(Knowledge Management Systems Life Cycle)
Compare CSLC and KMSLC การเปรียบเทียบ ระบบ CSLC และ KMSLC
Conventional System Life Cycle วงจรชีวิตการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิม
เริ่มต้นจาก ขั้นตอนที่
1.Recognition
of Need and Feasibility Study การกำหนดความต้องการของระบบ
2.Functional
Requirements Specifications กำหนดคุณสมบัติความต้องการ
การทำงานของระบบ
3.Logical
Design (master design plan) การออกแบบเชิงตรรกะของระบบทั้งหมด(ในกระดาษ)
4.Physical
Design (coding) การออกแบบเชิงกายภาพ(การสร้างระบบขึ้นมาเอง)
5.Testing การทดสอบระบบ
6.Implementation
(file conversion, user training) การนำระบบไปใช้งาน
7.Operations and Maintenance การดำเนินงานและบำรุงรักษา
ระดับชั้นของสถาปัตยกรรมระบบจัดการความรู้
(Layers of KM Architecture)
Access points can be intranet, Internet, and extranet
การกำหนดสิทธิการเข้าถึงจะกำหนดที่จุดเชื่อมต่อแอสเซสพ้อย
อินทราเน็ต กับเอ็กซ์ทราเน็ต
Collaborative
Intelligence and Filtering (Layer 3) ความเฉลี่ยวฉลาดที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน
และการ
Provides knowledge bases, discussion databases, automation tools, etc.
Ultimate goal: demonstrate by knowledge sharing how employees’ performances are improved
7.Operations and Maintenance การดำเนินงานและบำรุงรักษา
KM System Life Cycle
วงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้
เริ่มต้นจาก ขั้นตอนที่
1.Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานของระบบที่มีอยู่
2.Form the KM Team การจัดตั้งทีมงานจัดการความรู้
3.Knowledge Capture การรวบรวมความรู้มาเก็บไว้เพื่อที่จะเอาข้อมูลความรู้เหล่านี้เข้าสู่ระบบ
4.Design KMS Blueprint การออกแบบพิมพ์เขียวของการจัดการความรู้
5. Verify and validate the KM System การสร้างระบบขึ้นมา
แล้วตรวจสอบว่าระบบมีความเหมาะสมหรือไม่
Verify แปลว่า ระบบทำงานได้เหมาะสมกับผู้ใช้หรือไม่
validate แปลว่า การตรวจสอบว่าระบบทำงานได้ถูกต้องหรือไม่ เช่น ให้คำนวณและได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
6. Implement the KM System
การเอาระบบ KM ไปใช้
7. Manage Change and Rewards Structure การจัดการของการเปลี่ยนแปลงและขั้นตอนการของการให้รางวัล
8. Post-system evaluation การประเมินผลหลังจากที่เอาระบบไปใช้แล้ว
Key Differences ความแตกต่างที่สำคัญของระบบทั้ง 2 แบบ
Systems analysts deal with
information from the user; knowledge developers deal with knowledge from domain
experts
นักวิเคราะห์ระบบมีการจัดการกับสารสนเทศจากผู้ใช้
ส่วนนักพัฒนาความรู้จะจัดการความรู้ที่มาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
Users know the problem but not the
solution; domain experts know both the problem and the solution
ผู้ใช้ รู้ปัญหาแต่ไม่รู้ทางแก้
แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจะรู้ทั้งปัญหาและทางแก้ไข
Conventional SLC is primarily sequential;
KM SLC is incremental and interactive
วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมSLC โดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนการเรียงลำดับแต่ถ้า KM
SLC การพัฒนาแบบเพิ่มพูลคือการเพิ่มไปทีละส่วนทีละส่วนและมีลักษณะการโต้ตอบ
System testing normally at end of
conventional system life cycle; KM system testing evolves from beginning of the
cycle
การทดสอบระบบโดยปกติแล้วจะกระทำในขั้นตอนสุดท้ายของวงจรแต่ถ้าเป็น
KM System จะเข้าไปเกี่ยวของการทดสอบตั้งแต่เริ่มต้นของวงจรการพัฒนาระบบ
Conventional system life cycle is process-driven
or “specify then build” But KM system
life cycle is result-oriented or “start slow and grow”
การพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมขับเคลื่นด้วยกระบวนการ
หรือ เรียกอีกคำว่า มีการกำหนดความต้องการเสร็จแล้วสร้างมันขึ้นมา แต่ KM System วงจรชีวิตของ
KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ จะต้องได้ระบบแบบนี้ขึ้นมาใช้
มีการเริ่มต้นแบบช้าๆแต่เติบโตไปเรื่อยๆ
Key Similarities
ข้อเหมือนกันที่สำคัญของ 2 ระบบ
Both begin with a problem and end
with a solution
ทั้ง 2
ระบบเริ่มต้นจากปัญหาและไปจบที่ทางแก้
Both begin with information
gathering or knowledge capture
ทั้งสองระบบเริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมสารสนเทศ
Testing is essentially the same to
make sure “the system is right” and “it is the right system”
การทดสอบมีความสำคัญเหมือนกันเพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้ถูกต้องได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
มันเป็นระบบที่เหมาะสม
Both developers must choose the
appropriate tool(s) for designing their respective systems
ผู้พัฒนาระบบทั้ง 2
แบบมักจำเลือกเครื่องมือที่เหมาะหลายๆเครื่องมือมาใข้การออกแบบระบบที่คาดหวังหรือระบบที่ต้องการ
Attribute
คุณลักษณะที่ต้องการเปรียบเทียบ
Stages of KMSLC ขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้แบ่งเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้
(1) Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ได้แก่ โครงสร้างฮาร์ดแวร์
System justifications :
พิจารณาจากคำถามต่อไปนี้
มีความรู้อะไรไหมที่มันจะหายไปจากการเกษียณอายุ
หรือการเปลี่ยนหน่วยงาน หรือการออกจากที่ทำงานที่เดิมไปอยู่ที่ทำงานใหม่ ระบบ KM ที่นำมาเสนอต้องนำเอามาใช้ในหลายๆฝ่ายได้หรือไม่และมีผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่มีความตั้งใจที่อยากจะช่วยในการสร้างระบบ
Km ขึ้นมาหรือป่าวปัญหาต่างๆที่ต้องการคำตอบต้องใช้เวลาหลายปีในการตอบหรือป่าว
The Scope Factor: ปัจจัยที่เกี่ยวข้องการพิจารณา
ต้องพิจารณาในเชิงลึกและวงกว้างของโครงการในเรื่องของการเงิน
ทรัพยากรบุคคล และเงื่อนไขการปฏิบัติ
ตรวจสอบให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่ว่าสามารถจับคู่กับเทคโนโลยีKMที่เราต้องการได้หรือป่าว
Role of Strategic Planning บทของการวางแผนเชิงกลยุทธ์
ความเสี่ยงมักจะเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาระบบโดยไม่ได้วางกลยุทธ์นักพัฒนาระบบจะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
Vision เพื่อที่จะให้เห็นถึงความพยายามของธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรและพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร
Resources พิจารณาจากทรัพยากรว่ามีเงินที่เพียงพอกับการลงทุนกับระบบ KM หรือไม่
Culture สิ่งแวดล้อมทางสังคมและการเมืองขององค์กรโดยพิจารณาว่ามันเปิดรับหรือตอบสนองกับความต้องการของ KM ใหม่หรือไม่
(2) Form the KM Team การจัดตั้งทีมจัดการความรู้หรือ KM
เป็นขั้นตอนการสร้างทีม
KM ทีมจะประสบความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
ความสามารถของคนในทีมว่ามีความสามารถที่อยู่ในขั้นที่เหมาะสม ขนาดของทีมนั้นที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีสมาชิกในทีมทั้งหมด
7 คน และทีมนั้นจะต้องไม่ไปสัญญาอะไรเกินเลยมากไปกว่าสิ่งที่ทำแล้วเกิดขึ้นจริงของระบบที่เราจะส่งมอบและที่สำคัญหัวหน้าจะต้องมีภาวะความเป็นผู้นำ
สามารถสั่งลูกน้องได้และเป็นแรงจูงใจของทีมสามารถผลักดันทีมให้ไปสู่ความสำเร็จ
(3) Knowledge Capture การเก็บรวบรวมความรู้ การดึงความรู้ จับความรู้ สกัดความรู้ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ
เป็นขั้นตอนการดึงความรู้การจับใจความสำคัญของสาระความรู้นั้นจากสื่อที่มีอยู่หลากหลายหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
เช่น หนังสือ ตำรา เอกสาร ทางอินเตอร์เน็ต
และการพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น นักพัฒนาระบบจะต้องมีการจัดการดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆขององค์กรโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายและนอกจากนั้นนักพัฒนาระบบจะต้องไปดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจะนำมาสร้างฐานความรู้
(4) Design the KM Blueprint การออกแบบพิมพ์เขียวและการจัดการความรู้
เป็นขั้นตอนกำหนดขอบเขตที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจะต้องมีการตัดสินใจบนองค์ประกอบของความต้องการของระบบที่จะพัฒนาขึ้นในครั้งนี้
และการพัฒนาระบบในระดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมของระบบ Knowledge Management ระบบจะต้องมีความสามารถใช้งานระหว่างโครางสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกัน
ระดับชั้นของสถาปัตยกรรม KM จะประกอบไปด้วย
1.ระดับบนคือระดับที่ติดต่อกับผู้ใช้งานสามารถเห็นได้ในรูปแบบของเว็บไซต์
2.การควบคุมสิทธิ์ในการเข้าถึง( การใส่พาสเวิร์ด )
3.การทำงานร่วมกันของส่วนกรองข้อมูล
4.แอปพลิเคชั่นต่างๆที่ทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้(เช่น วิดีโอคอนเฟอร์เรนท์)
5.ชั้นนำส่งข้อมูลซึ่งประกอบไปด้วยโปรโตคอล
6.ซอฟแวร์ที่มาช่วยทำให้การทำงานของแอปพลิเคชั่นกับเครือข่ายมันสามารถติดต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7.เป็นชั้นของสายสื่อสารและเป็นแหล่งเก็บข้อมูล
(5) Verify and validate the KM System การสร้างระบบขึ้นมาและตรวจสอบว่าระบบมีความเหมาะสมหรือถูกต้องหรือไม่
เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบระบบว่ามีความเหมาะสมของระบบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบมีฟังค์ชั่นการทำงานที่ถูกต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานและมีวิธีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบได้ผลลัพธ์คำตอบการประมวลผลที่ถูกต้องและตรวจสอบความผิดพลาดที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของทีมจัดการความรู้
(6) Implement the KM System การนำเอาระบบ KM ไปใช้งาน
เป็นขั้นตอนการนำเอาระบบไปปฏิบัติงานจริงๆในระบบการจัดการความรู้ใหม่และมีการทำงานได้จริงไม่เกิดข้อผิดพลาดและมีการเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลหรือไฟล์ข้อมูล
มีการจัดตั้งการฝึกอบรมผู้ใช้งานให้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้
อย่างละเอียดเพื่อนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังมีการประกันคุณภาพของระบบในเรื่องของ ความผิดพลาดเชิงเหตุเชิงผล ตรวจสอบถึงความคุมเครือของระบบ
และตรวจสอบความผิดพลาดในลักษณะ false positive เราตรวจแล้วมันถูกแต่จริงๆแล้วมันผิด
มาจากการที่เขียนโปรแกรมผิด false negative
เราตรวจแล้วมันให้คำตอบว่าผิดแต่จริงๆแล้วมันถูก
(7) Manage Change and Rewards Structure การจัดการเปลี่ยนแปลงและขั้นตอนการจัดการให้รางวัล
เป็นขั้นตอนของความต้องการลดแรงต่อต้านจากผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือพนักงานผู้ใช้ระบบหรือจากผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อก่อกวนให้เกิดปัญหาแรงต่อต้านทานนี้จะแสดงออกมาจากการโต้ตอบ
เช่น การกำหนดพาสเวิร์ดที่ไม่ปฏิบัติตาม (พาสเวิร์ดยุ่งยาก)หรือหลีกเลี่ยงการใส่รหัสผ่านไม่ปฏิบัติตามกฎที่ได้วางไว้
(8) Post-system Evaluation การประเมินผลหลังจากนำระบบไปใช้แล้ว
เป็นขั้นตอนการประเมินผลกระทบของระบบในแง่ของผลกระทบต่อ
บุคคล วิธีการปฏิบัติหรือผลการดำเนินงานของธุรกิจซึ่งจะมีขอบเขตที่เราต้องพิจารณาผลลัพธ์ของการระบบไปใช้ทำให้เราได้ความรู้ในการตัดสินใจได้ดีขึ้น
ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพทำให้เราแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ ดูจากทัศนคติของผู้ใช้งาน(อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากต้นทุน
ที่เกิดจากการนำระบบไปใช้งานและไปประมวลรวมต้นทุนที่เกิดจากการปรับระบบให้ทันสมัยมากขึ้น
Key Differences ความแตกต่างที่สำคัญของระบบทั้ง 2 แบบ
Systems analysts deal with
information from the user; knowledge developers deal with knowledge from domain
experts
นักวิเคราะห์ระบบมีการจัดการกับสารสนเทศจากผู้ใช้
ส่วนนักพัฒนาความรู้จะจัดการความรู้ที่มาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ
Users know the problem but not the solution; domain experts know both the problem and the solution
Users know the problem but not the solution; domain experts know both the problem and the solution
ผู้ใช้ รู้ปัญหาแต่ไม่รู้ทางแก้
แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจะรู้ทั้งปัญหาและทางแก้ไข
Conventional SLC is primarily sequential; KM SLC is incremental and interactive
Conventional SLC is primarily sequential; KM SLC is incremental and interactive
วงจรการพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมSLC โดยทั่วไปจะประกอบด้วยขั้นตอนการเรียงลำดับแต่ถ้า KM
SLC การพัฒนาแบบเพิ่มพูลคือการเพิ่มไปทีละส่วนทีละส่วนและมีลักษณะการโต้ตอบ
System testing normally at end of conventional system life cycle; KM system testing evolves from beginning of the cycle
System testing normally at end of conventional system life cycle; KM system testing evolves from beginning of the cycle
การทดสอบระบบโดยปกติแล้วจะกระทำในขั้นตอนสุดท้ายของวงจรแต่ถ้าเป็น
KM System จะเข้าไปเกี่ยวของการทดสอบตั้งแต่เริ่มต้นของวงจรการพัฒนาระบบ
Conventional system life cycle is process-driven or “specify then build” But KM system life cycle is result-oriented or “start slow and grow”
การพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมขับเคลื่นด้วยกระบวนการ หรือ เรียกอีกคำว่า มีการกำหนดความต้องการเสร็จแล้วสร้างมันขึ้นมา แต่ KM System วงจรชีวิตของ KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ จะต้องได้ระบบแบบนี้ขึ้นมาใช้ มีการเริ่มต้นแบบช้าๆแต่เติบโตไปเรื่อยๆ
Conventional system life cycle is process-driven or “specify then build” But KM system life cycle is result-oriented or “start slow and grow”
การพัฒนาระบบแบบดั้งเดิมขับเคลื่นด้วยกระบวนการ หรือ เรียกอีกคำว่า มีการกำหนดความต้องการเสร็จแล้วสร้างมันขึ้นมา แต่ KM System วงจรชีวิตของ KM จะมุ่งเน้นถึงผลลัพธ์ จะต้องได้ระบบแบบนี้ขึ้นมาใช้ มีการเริ่มต้นแบบช้าๆแต่เติบโตไปเรื่อยๆ
Key Similarities
ข้อเหมือนกันที่สำคัญของ 2 ระบบ
Both begin with a problem and end
with a solution
ทั้ง 2
ระบบเริ่มต้นจากปัญหาและไปจบที่ทางแก้
Both begin with information
gathering or knowledge capture
ทั้งสองระบบเริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมสารสนเทศ
Testing is essentially the same to
make sure “the system is right” and “it is the right system”
การทดสอบมีความสำคัญเหมือนกันเพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้ถูกต้องได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
มันเป็นระบบที่เหมาะสม
Both developers must choose the
appropriate tool(s) for designing their respective systems
ผู้พัฒนาระบบทั้ง 2
แบบมักจำเลือกเครื่องมือที่เหมาะหลายๆเครื่องมือมาใข้การออกแบบระบบที่คาดหวังหรือระบบที่ต้องการ
Attribute
คุณลักษณะที่ต้องการเปรียบเทียบ
Stages of KMSLC ขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้แบ่งเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้
(1) Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ได้แก่ โครงสร้างฮาร์ดแวร์
System justifications :
พิจารณาจากคำถามต่อไปนี้
มีความรู้อะไรไหมที่มันจะหายไปจากการเกษียณอายุ
หรือการเปลี่ยนหน่วยงาน หรือการออกจากที่ทำงานที่เดิมไปอยู่ที่ทำงานใหม่ ระบบ KM ที่นำมาเสนอต้องนำเอามาใช้ในหลายๆฝ่ายได้หรือไม่และมีผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่มีความตั้งใจที่อยากจะช่วยในการสร้างระบบ
Km ขึ้นมาหรือป่าวปัญหาต่างๆที่ต้องการคำตอบต้องใช้เวลาหลายปีในการตอบหรือป่าว
The Scope Factor: ปัจจัยที่เกี่ยวข้องการพิจารณา
ต้องพิจารณาในเชิงลึกและวงกว้างของโครงการในเรื่องของการเงิน
ทรัพยากรบุคคล และเงื่อนไขการปฏิบัติ
ตรวจสอบให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่ว่าสามารถจับคู่กับเทคโนโลยีKMที่เราต้องการได้หรือป่าว
Role of Strategic Planning บทของการวางแผนเชิงกลยุทธ์
ความเสี่ยงมักจะเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาระบบโดยไม่ได้วางกลยุทธ์นักพัฒนาระบบจะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
Vision เพื่อที่จะให้เห็นถึงความพยายามของธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรและพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร
Resources พิจารณาจากทรัพยากรว่ามีเงินที่เพียงพอกับการลงทุนกับระบบ KM หรือไม่
Culture สิ่งแวดล้อมทางสังคมและการเมืองขององค์กรโดยพิจารณาว่ามันเปิดรับหรือตอบสนองกับความต้องการของ KM ใหม่หรือไม่
(2) Form the KM Team การจัดตั้งทีมจัดการความรู้หรือ KM
เป็นขั้นตอนการสร้างทีม
KM ทีมจะประสบความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
ความสามารถของคนในทีมว่ามีความสามารถที่อยู่ในขั้นที่เหมาะสม ขนาดของทีมนั้นที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีสมาชิกในทีมทั้งหมด
7 คน และทีมนั้นจะต้องไม่ไปสัญญาอะไรเกินเลยมากไปกว่าสิ่งที่ทำแล้วเกิดขึ้นจริงของระบบที่เราจะส่งมอบและที่สำคัญหัวหน้าจะต้องมีภาวะความเป็นผู้นำ
สามารถสั่งลูกน้องได้และเป็นแรงจูงใจของทีมสามารถผลักดันทีมให้ไปสู่ความสำเร็จ
(3) Knowledge Capture การเก็บรวบรวมความรู้ การดึงความรู้ จับความรู้ สกัดความรู้ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ
เป็นขั้นตอนการดึงความรู้การจับใจความสำคัญของสาระความรู้นั้นจากสื่อที่มีอยู่หลากหลายหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
เช่น หนังสือ ตำรา เอกสาร ทางอินเตอร์เน็ต
และการพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น นักพัฒนาระบบจะต้องมีการจัดการดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆขององค์กรโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายและนอกจากนั้นนักพัฒนาระบบจะต้องไปดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจะนำมาสร้างฐานความรู้
(4) Design the KM Blueprint การออกแบบพิมพ์เขียวและการจัดการความรู้
เป็นขั้นตอนกำหนดขอบเขตที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจะต้องมีการตัดสินใจบนองค์ประกอบของความต้องการของระบบที่จะพัฒนาขึ้นในครั้งนี้
และการพัฒนาระบบในระดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมของระบบ Knowledge Management ระบบจะต้องมีความสามารถใช้งานระหว่างโครางสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกัน
ระดับชั้นของสถาปัตยกรรม KM จะประกอบไปด้วย
1.ระดับบนคือระดับที่ติดต่อกับผู้ใช้งานสามารถเห็นได้ในรูปแบบของเว็บไซต์
2.การควบคุมสิทธิ์ในการเข้าถึง( การใส่พาสเวิร์ด )
3.การทำงานร่วมกันของส่วนกรองข้อมูล
4.แอปพลิเคชั่นต่างๆที่ทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้(เช่น วิดีโอคอนเฟอร์เรนท์)
5.ชั้นนำส่งข้อมูลซึ่งประกอบไปด้วยโปรโตคอล
6.ซอฟแวร์ที่มาช่วยทำให้การทำงานของแอปพลิเคชั่นกับเครือข่ายมันสามารถติดต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7.เป็นชั้นของสายสื่อสารและเป็นแหล่งเก็บข้อมูล
(5) Verify and validate the KM System การสร้างระบบขึ้นมาและตรวจสอบว่าระบบมีความเหมาะสมหรือถูกต้องหรือไม่
เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบระบบว่ามีความเหมาะสมของระบบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบมีฟังค์ชั่นการทำงานที่ถูกต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานและมีวิธีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบได้ผลลัพธ์คำตอบการประมวลผลที่ถูกต้องและตรวจสอบความผิดพลาดที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของทีมจัดการความรู้
(6) Implement the KM System การนำเอาระบบ KM ไปใช้งาน
เป็นขั้นตอนการนำเอาระบบไปปฏิบัติงานจริงๆในระบบการจัดการความรู้ใหม่และมีการทำงานได้จริงไม่เกิดข้อผิดพลาดและมีการเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลหรือไฟล์ข้อมูล
มีการจัดตั้งการฝึกอบรมผู้ใช้งานให้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้
อย่างละเอียดเพื่อนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังมีการประกันคุณภาพของระบบในเรื่องของ ความผิดพลาดเชิงเหตุเชิงผล ตรวจสอบถึงความคุมเครือของระบบ
และตรวจสอบความผิดพลาดในลักษณะ false positive เราตรวจแล้วมันถูกแต่จริงๆแล้วมันผิด
มาจากการที่เขียนโปรแกรมผิด false negative
เราตรวจแล้วมันให้คำตอบว่าผิดแต่จริงๆแล้วมันถูก
(7) Manage Change and Rewards Structure การจัดการเปลี่ยนแปลงและขั้นตอนการจัดการให้รางวัล
เป็นขั้นตอนของความต้องการลดแรงต่อต้านจากผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือพนักงานผู้ใช้ระบบหรือจากผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อก่อกวนให้เกิดปัญหาแรงต่อต้านทานนี้จะแสดงออกมาจากการโต้ตอบ
เช่น การกำหนดพาสเวิร์ดที่ไม่ปฏิบัติตาม (พาสเวิร์ดยุ่งยาก)หรือหลีกเลี่ยงการใส่รหัสผ่านไม่ปฏิบัติตามกฎที่ได้วางไว้
(8) Post-system Evaluation การประเมินผลหลังจากนำระบบไปใช้แล้ว
เป็นขั้นตอนการประเมินผลกระทบของระบบในแง่ของผลกระทบต่อ
บุคคล วิธีการปฏิบัติหรือผลการดำเนินงานของธุรกิจซึ่งจะมีขอบเขตที่เราต้องพิจารณาผลลัพธ์ของการระบบไปใช้ทำให้เราได้ความรู้ในการตัดสินใจได้ดีขึ้น
ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพทำให้เราแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ ดูจากทัศนคติของผู้ใช้งาน(อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากต้นทุน
ที่เกิดจากการนำระบบไปใช้งานและไปประมวลรวมต้นทุนที่เกิดจากการปรับระบบให้ทันสมัยมากขึ้น
Key Similarities ข้อเหมือนกันที่สำคัญของ 2 ระบบ
Both begin with a problem and end
with a solution
ทั้ง 2
ระบบเริ่มต้นจากปัญหาและไปจบที่ทางแก้
Both begin with information
gathering or knowledge capture
ทั้งสองระบบเริ่มต้นจากการเก็บรวบรวมสารสนเทศ
Testing is essentially the same to
make sure “the system is right” and “it is the right system”
การทดสอบมีความสำคัญเหมือนกันเพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้ถูกต้องได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
มันเป็นระบบที่เหมาะสม
Both developers must choose the
appropriate tool(s) for designing their respective systems
ผู้พัฒนาระบบทั้ง 2
แบบมักจำเลือกเครื่องมือที่เหมาะหลายๆเครื่องมือมาใข้การออกแบบระบบที่คาดหวังหรือระบบที่ต้องการ
Attribute
คุณลักษณะที่ต้องการเปรียบเทียบ
Stages of KMSLC ขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้แบ่งเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้
(1) Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ได้แก่ โครงสร้างฮาร์ดแวร์
System justifications :
พิจารณาจากคำถามต่อไปนี้
มีความรู้อะไรไหมที่มันจะหายไปจากการเกษียณอายุ
หรือการเปลี่ยนหน่วยงาน หรือการออกจากที่ทำงานที่เดิมไปอยู่ที่ทำงานใหม่ ระบบ KM ที่นำมาเสนอต้องนำเอามาใช้ในหลายๆฝ่ายได้หรือไม่และมีผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่มีความตั้งใจที่อยากจะช่วยในการสร้างระบบ
Km ขึ้นมาหรือป่าวปัญหาต่างๆที่ต้องการคำตอบต้องใช้เวลาหลายปีในการตอบหรือป่าว
The Scope Factor: ปัจจัยที่เกี่ยวข้องการพิจารณา
ต้องพิจารณาในเชิงลึกและวงกว้างของโครงการในเรื่องของการเงิน
ทรัพยากรบุคคล และเงื่อนไขการปฏิบัติ
ตรวจสอบให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่ว่าสามารถจับคู่กับเทคโนโลยีKMที่เราต้องการได้หรือป่าว
Role of Strategic Planning บทของการวางแผนเชิงกลยุทธ์
ความเสี่ยงมักจะเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาระบบโดยไม่ได้วางกลยุทธ์นักพัฒนาระบบจะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
Vision เพื่อที่จะให้เห็นถึงความพยายามของธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรและพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร
Resources พิจารณาจากทรัพยากรว่ามีเงินที่เพียงพอกับการลงทุนกับระบบ KM หรือไม่
Culture สิ่งแวดล้อมทางสังคมและการเมืองขององค์กรโดยพิจารณาว่ามันเปิดรับหรือตอบสนองกับความต้องการของ KM ใหม่หรือไม่
(2) Form the KM Team การจัดตั้งทีมจัดการความรู้หรือ KM
เป็นขั้นตอนการสร้างทีม
KM ทีมจะประสบความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
ความสามารถของคนในทีมว่ามีความสามารถที่อยู่ในขั้นที่เหมาะสม ขนาดของทีมนั้นที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีสมาชิกในทีมทั้งหมด
7 คน และทีมนั้นจะต้องไม่ไปสัญญาอะไรเกินเลยมากไปกว่าสิ่งที่ทำแล้วเกิดขึ้นจริงของระบบที่เราจะส่งมอบและที่สำคัญหัวหน้าจะต้องมีภาวะความเป็นผู้นำ
สามารถสั่งลูกน้องได้และเป็นแรงจูงใจของทีมสามารถผลักดันทีมให้ไปสู่ความสำเร็จ
(3) Knowledge Capture การเก็บรวบรวมความรู้ การดึงความรู้ จับความรู้ สกัดความรู้ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ
เป็นขั้นตอนการดึงความรู้การจับใจความสำคัญของสาระความรู้นั้นจากสื่อที่มีอยู่หลากหลายหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
เช่น หนังสือ ตำรา เอกสาร ทางอินเตอร์เน็ต
และการพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น นักพัฒนาระบบจะต้องมีการจัดการดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆขององค์กรโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายและนอกจากนั้นนักพัฒนาระบบจะต้องไปดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจะนำมาสร้างฐานความรู้
(4) Design the KM Blueprint การออกแบบพิมพ์เขียวและการจัดการความรู้
เป็นขั้นตอนกำหนดขอบเขตที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจะต้องมีการตัดสินใจบนองค์ประกอบของความต้องการของระบบที่จะพัฒนาขึ้นในครั้งนี้
และการพัฒนาระบบในระดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมของระบบ Knowledge Management ระบบจะต้องมีความสามารถใช้งานระหว่างโครางสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกัน
ระดับชั้นของสถาปัตยกรรม KM จะประกอบไปด้วย
1.ระดับบนคือระดับที่ติดต่อกับผู้ใช้งานสามารถเห็นได้ในรูปแบบของเว็บไซต์
2.การควบคุมสิทธิ์ในการเข้าถึง( การใส่พาสเวิร์ด )
3.การทำงานร่วมกันของส่วนกรองข้อมูล
4.แอปพลิเคชั่นต่างๆที่ทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้(เช่น วิดีโอคอนเฟอร์เรนท์)
5.ชั้นนำส่งข้อมูลซึ่งประกอบไปด้วยโปรโตคอล
6.ซอฟแวร์ที่มาช่วยทำให้การทำงานของแอปพลิเคชั่นกับเครือข่ายมันสามารถติดต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7.เป็นชั้นของสายสื่อสารและเป็นแหล่งเก็บข้อมูล
(5) Verify and validate the KM System การสร้างระบบขึ้นมาและตรวจสอบว่าระบบมีความเหมาะสมหรือถูกต้องหรือไม่
เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบระบบว่ามีความเหมาะสมของระบบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบมีฟังค์ชั่นการทำงานที่ถูกต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานและมีวิธีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบได้ผลลัพธ์คำตอบการประมวลผลที่ถูกต้องและตรวจสอบความผิดพลาดที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของทีมจัดการความรู้
(6) Implement the KM System การนำเอาระบบ KM ไปใช้งาน
เป็นขั้นตอนการนำเอาระบบไปปฏิบัติงานจริงๆในระบบการจัดการความรู้ใหม่และมีการทำงานได้จริงไม่เกิดข้อผิดพลาดและมีการเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลหรือไฟล์ข้อมูล
มีการจัดตั้งการฝึกอบรมผู้ใช้งานให้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้
อย่างละเอียดเพื่อนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังมีการประกันคุณภาพของระบบในเรื่องของ ความผิดพลาดเชิงเหตุเชิงผล ตรวจสอบถึงความคุมเครือของระบบ
และตรวจสอบความผิดพลาดในลักษณะ false positive เราตรวจแล้วมันถูกแต่จริงๆแล้วมันผิด
มาจากการที่เขียนโปรแกรมผิด false negative
เราตรวจแล้วมันให้คำตอบว่าผิดแต่จริงๆแล้วมันถูก
(7) Manage Change and Rewards Structure การจัดการเปลี่ยนแปลงและขั้นตอนการจัดการให้รางวัล
เป็นขั้นตอนของความต้องการลดแรงต่อต้านจากผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือพนักงานผู้ใช้ระบบหรือจากผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อก่อกวนให้เกิดปัญหาแรงต่อต้านทานนี้จะแสดงออกมาจากการโต้ตอบ
เช่น การกำหนดพาสเวิร์ดที่ไม่ปฏิบัติตาม (พาสเวิร์ดยุ่งยาก)หรือหลีกเลี่ยงการใส่รหัสผ่านไม่ปฏิบัติตามกฎที่ได้วางไว้
(8) Post-system Evaluation การประเมินผลหลังจากนำระบบไปใช้แล้ว
เป็นขั้นตอนการประเมินผลกระทบของระบบในแง่ของผลกระทบต่อ
บุคคล วิธีการปฏิบัติหรือผลการดำเนินงานของธุรกิจซึ่งจะมีขอบเขตที่เราต้องพิจารณาผลลัพธ์ของการระบบไปใช้ทำให้เราได้ความรู้ในการตัดสินใจได้ดีขึ้น
ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพทำให้เราแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ ดูจากทัศนคติของผู้ใช้งาน(อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากต้นทุน
ที่เกิดจากการนำระบบไปใช้งานและไปประมวลรวมต้นทุนที่เกิดจากการปรับระบบให้ทันสมัยมากขึ้น
Stages of KMSLC ขั้นตอนของวงจรการพัฒนาระบบการจัดการความรู้แบ่งเป็น 8 ขั้นตอน ดังนี้
(1) Evaluate Existing Infrastructure การประเมินโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ ได้แก่ โครงสร้างฮาร์ดแวร์
System justifications :
พิจารณาจากคำถามต่อไปนี้
มีความรู้อะไรไหมที่มันจะหายไปจากการเกษียณอายุ
หรือการเปลี่ยนหน่วยงาน หรือการออกจากที่ทำงานที่เดิมไปอยู่ที่ทำงานใหม่ ระบบ KM ที่นำมาเสนอต้องนำเอามาใช้ในหลายๆฝ่ายได้หรือไม่และมีผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่มีความตั้งใจที่อยากจะช่วยในการสร้างระบบ
Km ขึ้นมาหรือป่าวปัญหาต่างๆที่ต้องการคำตอบต้องใช้เวลาหลายปีในการตอบหรือป่าว
The Scope Factor: ปัจจัยที่เกี่ยวข้องการพิจารณา
ต้องพิจารณาในเชิงลึกและวงกว้างของโครงการในเรื่องของการเงิน
ทรัพยากรบุคคล และเงื่อนไขการปฏิบัติ
ตรวจสอบให้เห็นถึงเทคโนโลยีที่ว่าสามารถจับคู่กับเทคโนโลยีKMที่เราต้องการได้หรือป่าว
Role of Strategic Planning บทของการวางแผนเชิงกลยุทธ์
ความเสี่ยงมักจะเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาระบบโดยไม่ได้วางกลยุทธ์นักพัฒนาระบบจะต้องพิจารณาดังต่อไปนี้
Vision เพื่อที่จะให้เห็นถึงความพยายามของธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จในเรื่องอะไรและพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร
Resources พิจารณาจากทรัพยากรว่ามีเงินที่เพียงพอกับการลงทุนกับระบบ KM หรือไม่
Culture สิ่งแวดล้อมทางสังคมและการเมืองขององค์กรโดยพิจารณาว่ามันเปิดรับหรือตอบสนองกับความต้องการของ KM ใหม่หรือไม่
(2) Form the KM Team การจัดตั้งทีมจัดการความรู้หรือ KM
เป็นขั้นตอนการสร้างทีม
KM ทีมจะประสบความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
ความสามารถของคนในทีมว่ามีความสามารถที่อยู่ในขั้นที่เหมาะสม ขนาดของทีมนั้นที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีสมาชิกในทีมทั้งหมด
7 คน และทีมนั้นจะต้องไม่ไปสัญญาอะไรเกินเลยมากไปกว่าสิ่งที่ทำแล้วเกิดขึ้นจริงของระบบที่เราจะส่งมอบและที่สำคัญหัวหน้าจะต้องมีภาวะความเป็นผู้นำ
สามารถสั่งลูกน้องได้และเป็นแรงจูงใจของทีมสามารถผลักดันทีมให้ไปสู่ความสำเร็จ
(3) Knowledge Capture การเก็บรวบรวมความรู้ การดึงความรู้ จับความรู้ สกัดความรู้ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ
เป็นขั้นตอนการดึงความรู้การจับใจความสำคัญของสาระความรู้นั้นจากสื่อที่มีอยู่หลากหลายหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
เช่น หนังสือ ตำรา เอกสาร ทางอินเตอร์เน็ต
และการพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น นักพัฒนาระบบจะต้องมีการจัดการดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆขององค์กรโดยใช้เครื่องมือที่หลากหลายและนอกจากนั้นนักพัฒนาระบบจะต้องไปดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเพื่อจะนำมาสร้างฐานความรู้
(4) Design the KM Blueprint การออกแบบพิมพ์เขียวและการจัดการความรู้
เป็นขั้นตอนกำหนดขอบเขตที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับจะต้องมีการตัดสินใจบนองค์ประกอบของความต้องการของระบบที่จะพัฒนาขึ้นในครั้งนี้
และการพัฒนาระบบในระดับชั้นที่สำคัญของสถาปัตยกรรมของระบบ Knowledge Management ระบบจะต้องมีความสามารถใช้งานระหว่างโครางสร้างพื้นฐานที่แตกต่างกัน
ระดับชั้นของสถาปัตยกรรม KM จะประกอบไปด้วย
1.ระดับบนคือระดับที่ติดต่อกับผู้ใช้งานสามารถเห็นได้ในรูปแบบของเว็บไซต์
2.การควบคุมสิทธิ์ในการเข้าถึง( การใส่พาสเวิร์ด )
3.การทำงานร่วมกันของส่วนกรองข้อมูล
4.แอปพลิเคชั่นต่างๆที่ทำงานเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้(เช่น วิดีโอคอนเฟอร์เรนท์)
5.ชั้นนำส่งข้อมูลซึ่งประกอบไปด้วยโปรโตคอล
6.ซอฟแวร์ที่มาช่วยทำให้การทำงานของแอปพลิเคชั่นกับเครือข่ายมันสามารถติดต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7.เป็นชั้นของสายสื่อสารและเป็นแหล่งเก็บข้อมูล
เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบระบบว่ามีความเหมาะสมของระบบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบมีฟังค์ชั่นการทำงานที่ถูกต้องเป็นไปตามแผนที่วางไว้เหมาะสมกับการนำไปใช้งานและมีวิธีการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบได้ผลลัพธ์คำตอบการประมวลผลที่ถูกต้องและตรวจสอบความผิดพลาดที่ไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของทีมจัดการความรู้
(6) Implement the KM System การนำเอาระบบ KM ไปใช้งาน
เป็นขั้นตอนการนำเอาระบบไปปฏิบัติงานจริงๆในระบบการจัดการความรู้ใหม่และมีการทำงานได้จริงไม่เกิดข้อผิดพลาดและมีการเปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลหรือไฟล์ข้อมูล
มีการจัดตั้งการฝึกอบรมผู้ใช้งานให้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับระบบการจัดการความรู้
อย่างละเอียดเพื่อนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และยังมีการประกันคุณภาพของระบบในเรื่องของ ความผิดพลาดเชิงเหตุเชิงผล ตรวจสอบถึงความคุมเครือของระบบ
และตรวจสอบความผิดพลาดในลักษณะ false positive เราตรวจแล้วมันถูกแต่จริงๆแล้วมันผิด
มาจากการที่เขียนโปรแกรมผิด false negative
เราตรวจแล้วมันให้คำตอบว่าผิดแต่จริงๆแล้วมันถูก
(7) Manage Change and Rewards Structure การจัดการเปลี่ยนแปลงและขั้นตอนการจัดการให้รางวัล
เป็นขั้นตอนของความต้องการลดแรงต่อต้านจากผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือพนักงานผู้ใช้ระบบหรือจากผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อก่อกวนให้เกิดปัญหาแรงต่อต้านทานนี้จะแสดงออกมาจากการโต้ตอบ
เช่น การกำหนดพาสเวิร์ดที่ไม่ปฏิบัติตาม (พาสเวิร์ดยุ่งยาก)หรือหลีกเลี่ยงการใส่รหัสผ่านไม่ปฏิบัติตามกฎที่ได้วางไว้
(8) Post-system Evaluation การประเมินผลหลังจากนำระบบไปใช้แล้ว
เป็นขั้นตอนการประเมินผลกระทบของระบบในแง่ของผลกระทบต่อ
บุคคล วิธีการปฏิบัติหรือผลการดำเนินงานของธุรกิจซึ่งจะมีขอบเขตที่เราต้องพิจารณาผลลัพธ์ของการระบบไปใช้ทำให้เราได้ความรู้ในการตัดสินใจได้ดีขึ้น
ต้องใช้การตัดสินใจที่มีคุณภาพทำให้เราแก้ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ ดูจากทัศนคติของผู้ใช้งาน(อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากต้นทุน
ที่เกิดจากการนำระบบไปใช้งานและไปประมวลรวมต้นทุนที่เกิดจากการปรับระบบให้ทันสมัยมากขึ้น
ระดับชั้นของสถาปัตยกรรมระบบจัดการความรู้
(Layers of KM Architecture)
The User Interface (Layer 1) ส่วนติดต่อผู้ใช้งาน
Interface between users and the KM
system
เป็นการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานกับระบบการจัดการความรู้
Usually as a web browser
โดยปกติแล้วจะแสดงผลบน เว็บบราวน์เซอร์
The goal is to remove barriers to
information and tacit (made explicit) knowledge represented in the data
repositories
เป้าหมายต้องการที่จะขจัดอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางของสารสนเทศ
หรือ ความรู้ทั้งความรู้ที่เป็น Tacit ทำให้มันเป็นความรู้โดยนัยง่ายจุดประสงค์ทำให้ผู้ใช้งานติดต่อกับระบบนี้ได้ง่าย
User interface should be consistent,
relevant, visually clear, easy to navigate, and easy to use
ยูเซอร์อินเทอร์เฟลช มีความคงเส้นคงวา
มีความถูกต้อง ไม่ว่าประมวลผลกี่ครั้งก็จะได้แบบนั้น มองเห็นได้ชัดเจน
มันสามารถใช้งานได้ง่าย มีลิงค์เป็นเครื่องนำทาง และง่ายต่อผู้ใช้
Usability testing by the actual
users is the final test of acceptability
มีการทดสอบความสามารถในการใช้งานโดยผู้ใช้งานจริงๆและเป็นการทดสอบสุดท้ายและยอมรับระบบ
Authorized Access Control (Layer 2) การควบคุมสิทธิในการเข้าถึง
Maintains security and ensures
authorized access to the knowledge stored in company’s repositories
การรักษาความมั้นคงปลอดภัย
เพื่อให้แน่ใจว่าสิทธิในการเข้าถึงไปยังแหล่งเก็บความรู้ที่อยู่ในแหล่งเก็บข้อมูลของบริษัทว่ามันได้รับสิทธิในการเข้าถึง
Access points can be intranet, Internet, and extranet
Collaborative
Intelligence and Filtering (Layer 3) ความเฉลี่ยวฉลาดที่ทำให้เกิดการทำงานร่วมกัน
และการ
กรองข้อมูล
Knowledge-Enabling Application
(Layer 4) โปรแกรมประยุกต์ที่จัดการเกี่ยวกับการจัดการความรู้
Referred to as value-added layer
ทำให้เกิดคุณค่ามากขึ้นมีกำไรมากขึ้น
Provides knowledge bases, discussion databases, automation tools, etc.
แอปพลิเคชั่นจะจัดการกับฐานความรู้
มันสามารถที่จะจัดการเกี่ยวกับเครื่องมือต่างๆที่เอามาใช้ได้โดยอัติโนมัติ
Ultimate goal: demonstrate by knowledge sharing how employees’ performances are improved
เป้าหมายสุดท้ายต้องการแสดงให้เห็นว่าการแบ่งปันความรู้แลกเปลี่ยนความรู้ทำให้ผลการปฏิบัติงานของพนักงานได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น
Transport Layer (Layer 5)
ชั้นของการนำส่งข้อมูล/ชั้นองการนำส่งสารสนเทศหรือความรู้
Most technical layer to implement
เป็นชั้นที่มีเทคนิคส่วนใหญ่แล้วจะมีการติดตั้งในชั้นนี้
Includes LANs, WANs, intranets,
extranets, and the Internet
ประกอบไปด้วย
แลนด์ แวนด์ คือเทคนิคของเครือข่าย
Ensures that the company will become
a network of relationships
ภายในองค์กรมีการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันได้
Considers multimedia, URLs,
graphics, connectivity speeds, and bandwidths
ประกอบด้วยมัลติมีเดีย
การตั้งชื่อเว็บไซต์ ต้องเป็นชื่อที่จำง่าย เรื่อง กราฟฟิค ความเร็วในการเชื่อมต่อ
ความกว้างของช่องสัญญาณในการติดต่อ
Middleware (Layer 6)
Focus on interfacing with legacy
systems and programs residing on other platforms
มุ่งเน้นการติดต่อระบบเดิมที่เราใช้งานอยู่แล้วนำใช้งานร่วมกัน
ระหว่างระบบเดิมและระบบการจัดการความรู้
Designer should address databases
and applications with which KM system interfaces
นักออกแบบระบบควรจะกำหนดฐานข้อมูล และ
โปรแกรมประยุกต์ซึ่งระบบจัดการความรู้จะต้องการทำการติดต่อด้วย
Makes it possible to connect between
old and new data formats
ทำให้มันมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบเดิมและข้อมูลที่อยู่ในโครงสร้างใหม่สามารถติดต่อ
ใช้งาน ร่วมกันได้
***เสริม*****Middleware คือ software computer ที่คอยช่วยเหลือดูแล application ที่รันอยู่บน OS
หรือจะเรียกว่าตัวเชื่อมระหว่าง APP และ OS
ก็ได้ ซึงมันช่วยให้ developer สามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับภายนอกได้ง่ายขึ้น
ทำให้ลดภาระในการดูแลรายละเอียดรอบข้างและเน้นแต่งานหลักที่ต้องการได้
Physical Repositories (Layer 7) แหล่งเก็บข้อมูลเชิงกายภาพ
Bottom layer in the KM architecture
เป็นชั้นล่างสุดในสถาปัตยกรรมของการจัดการความรู้
Represents the physical layer where
repositories are installed
แสดงให้เห็นถึงของชั้นทางกายภาพที่เป็นที่อยู่เป็นแหล่งเก็บข้อมูลและโปรแกรมขององค์กรที่ทำการติดตั้งอยู่
Includes data warehouses, legacy
applications, operational databases, and special applications for security and
traffic management
ประกอบไปด้วยคลังข้อมูล โปรแกรมประยุกต์เดิม ฐานข้อมูลที่ใช้ในการปฏิบัติงาน และ
โปรแกรมประยุกต์พิเศษที่ใช้สำหรับเรื่องความมั่นคงปลอดภัย จัดการจราจรของข้อมูล
Transport Layer (Layer 5) ชั้นของการนำส่งข้อมูล/ชั้นองการนำส่งสารสนเทศหรือความรู้
Most technical layer to implement
เป็นชั้นที่มีเทคนิคส่วนใหญ่แล้วจะมีการติดตั้งในชั้นนี้
Includes LANs, WANs, intranets, extranets, and the Internet
ประกอบไปด้วย
แลนด์ แวนด์ คือเทคนิคของเครือข่าย
Ensures that the company will become a network of relationships
ภายในองค์กรมีการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เราสามารถสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันได้
Considers multimedia, URLs, graphics, connectivity speeds, and bandwidths
ประกอบด้วยมัลติมีเดีย
การตั้งชื่อเว็บไซต์ ต้องเป็นชื่อที่จำง่าย เรื่อง กราฟฟิค ความเร็วในการเชื่อมต่อ
ความกว้างของช่องสัญญาณในการติดต่อ
Middleware (Layer 6)
Focus on interfacing with legacy
systems and programs residing on other platforms
มุ่งเน้นการติดต่อระบบเดิมที่เราใช้งานอยู่แล้วนำใช้งานร่วมกัน
ระหว่างระบบเดิมและระบบการจัดการความรู้
Designer should address databases and applications with which KM system interfaces
นักออกแบบระบบควรจะกำหนดฐานข้อมูล และ
โปรแกรมประยุกต์ซึ่งระบบจัดการความรู้จะต้องการทำการติดต่อด้วย
Makes it possible to connect between old and new data formats
ทำให้มันมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมต่อระหว่างข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบเดิมและข้อมูลที่อยู่ในโครงสร้างใหม่สามารถติดต่อ
ใช้งาน ร่วมกันได้
***เสริม*****Middleware คือ software computer ที่คอยช่วยเหลือดูแล application ที่รันอยู่บน OS หรือจะเรียกว่าตัวเชื่อมระหว่าง APP และ OS ก็ได้ ซึงมันช่วยให้ developer สามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับภายนอกได้ง่ายขึ้น ทำให้ลดภาระในการดูแลรายละเอียดรอบข้างและเน้นแต่งานหลักที่ต้องการได้
Physical Repositories (Layer 7) แหล่งเก็บข้อมูลเชิงกายภาพ
Bottom layer in the KM architecture
เป็นชั้นล่างสุดในสถาปัตยกรรมของการจัดการความรู้
Represents the physical layer where repositories are installed
แสดงให้เห็นถึงของชั้นทางกายภาพที่เป็นที่อยู่เป็นแหล่งเก็บข้อมูลและโปรแกรมขององค์กรที่ทำการติดตั้งอยู่
Includes data warehouses, legacy applications, operational databases, and special applications for security and traffic management
ประกอบไปด้วยคลังข้อมูล โปรแกรมประยุกต์เดิม ฐานข้อมูลที่ใช้ในการปฏิบัติงาน และ
โปรแกรมประยุกต์พิเศษที่ใช้สำหรับเรื่องความมั่นคงปลอดภัย จัดการจราจรของข้อมูล
Build In-House, Buy, or Outsource?
Trend is toward ready-to-use,
generalized software packages
แนวโน้มไปในทางที่พร้อมจะใช้งานลักษณะที่เป็นซอฟแวร์สำเร็จรูปโดยทั่วไปที่พร้อมที่จะใช้งาน
Outsourcing is also a trend,
releasing technological design to outsiders
ถ้าเป็นเอาท์ซอส
ปล่อยให้การออกแบบในเชิงเทคนิคให้ไปอยู่ในการดูแลของคนภายนอก
Regardless of choice, it is
important to set criteria for the selection
ถ้าไม่คำนึงถึงทางเลือก
มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องกำหนดเกณฑ์สำหรับการเลือกวิธีการพัฒนาระบบในวิธีใด
Question of who owns the KM system
should be seriously considered
คำถามของผู้ที่เป็นเจ้าของระบบควรมีการนำมาพิจารณาอย่างจริงจังด้วย
Build In-House, Buy, or Outsource?
Trend is toward ready-to-use,
generalized software packages
แนวโน้มไปในทางที่พร้อมจะใช้งานลักษณะที่เป็นซอฟแวร์สำเร็จรูปโดยทั่วไปที่พร้อมที่จะใช้งาน
แนวโน้มไปในทางที่พร้อมจะใช้งานลักษณะที่เป็นซอฟแวร์สำเร็จรูปโดยทั่วไปที่พร้อมที่จะใช้งาน
Outsourcing is also a trend, releasing technological design to outsiders
ถ้าเป็นเอาท์ซอส ปล่อยให้การออกแบบในเชิงเทคนิคให้ไปอยู่ในการดูแลของคนภายนอก
Regardless of choice, it is important to set criteria for the selection
ถ้าไม่คำนึงถึงทางเลือก มันเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะต้องกำหนดเกณฑ์สำหรับการเลือกวิธีการพัฒนาระบบในวิธีใด
Question of who owns the KM system should be seriously considered
คำถามของผู้ที่เป็นเจ้าของระบบควรมีการนำมาพิจารณาอย่างจริงจังด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น